วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ครูหรือศาสดาทั้ง 6

1.ปูรณกัสป ศาสดาแห่งฝ่ายอริยกทิฏฐิ คือถือว่า ไม่มีเหตุไม่มีผล ไม่มีบุญไม่มีบาป ทำความดีก็ไม่เป็นความดีและไม่มีผล ทำความชั่วก็ไม่เป็นความชั่วและไม่มีผล ทำอะไรก็สักแต่ว่าเป็นการทำเท่านั้น ไม่เป็นการกระทำที่เกิดผล
2.มักขลิโคศาล ศาสดาแห่งลัทธิฝ่ายอเหตุกทิฏฐิ คือถือว่าความบริสุทธิ์ หรือความเศร้าหมองไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย ย่อมเป็นเองมีเองตามธรรมชาติ จะปฏิบัติตนเพื่อความบริสุทธิ์ หรือจะทำให้เศร้าหมองด้วยการทำชั่ว ย่อมไม่มีผลหรือก่อให้เกิดผลอะไร ทุกสิ่งมีเองเป็นเองไม่มีเองไม่เป็นเอง ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย
3.อชิตเกสกัมพล (อชิตผู้ใช้ผ้ากัมพลทำด้วยผมคน) ศาสดาแห่งลัทธินัตถิกทิฏฐิและอุจเฉททิฏฐิ คือถือว่าไม่มีอะไรทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ พ่อแม่ ความดี ความชั่ว มีแต่ธาตุ 4 รวมตัวกันเมื่อมีชีวิต พอตายแล้วก็แยกกัน ไม่มีอะไรเหลือ ไม่มีอะไรเกิด ไม่มีอะไรดับ ตายแล้วสูญ (ศูนยวาท)
4.ปกุทธกัจจายนะ ศาสดาแห่งลัทธินัตถิกทิฏฐิ คล้ายอชิตเกสกัมพล แต่ต่างออกไปว่า กายมี 7 คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม สุข ทุกข์ และชีวะ เมื่อกายรวมกัน จึงสมมติเรียกเป็นคน เป็นสัตว์ แต่ความจริงแล้ว ไม่มีคน ไ ม่มีสัตว์ ไม่มีอะไรทั้งสิ้น แม้แต่กายนั้นโดยความจริงแล้วก็ไม่มี ดังนั้นจึงไม่มีผู้ให้ ผู้รับ ผู้ฆ่า ผู้ถูกฆ่า แต่เป็นกายสัมผัสกายเท่านั้น ซึ่งโดยความเป็นจริงแล้วก็ไม่มีการสัมผัสอีกเหมือนกันเพราะการสัมผัสนั้น เป็นการสมมติเรียก เมื่อเป็นการสมมติจึงไม่มี
5.สญชัยเวลัฏฐบุตร ศาสดาแห่งลัทธิอมราวิกเขปิกทิฏฐิ คือถืออะไรเป็นหลักไม่ได้ มีความเห็นส่ายไปส่ายมาดุจปลาไหล ไม่ยุติ เป็นเรื่องวาทศิลป์มากกว่า เช่น มีผู้ถามว่าบุญบาปมีจริงหรือไม่ ท่านสญชัยก็ตอบว่า ถ้าข้าพเจ้าเห็นว่าบุญบาปมีจริง ก็จะตอบท่านว่าบุญบาปมีจริง ถ้ามีผู้ถามซ้ำอีกว่า ท่านเห็นว่าบุญบาปมีจริงหรือไม่ ท่านสญชัยตอบแบบถือหลักอะไรไม่ได้ คือแบบส่ายไปมาว่า ข้าพเจ้าจะเห็นอย่างนั้นก็ไม่ใช่ จะเห็นโดยอาการอย่างนั้นก็ไม่ใช่ จะเห็นเป็นอย่างอื่นก็ไม่ใช่ จะไม่เห็ฯเป็นอย่างอื่นก็ไม่ใช่
6.นิครนถนาฏบุตร (มหาวีระ) ศาสดาแห่งลัทธิอัตถิกทิฏฐิ คือถือว่า ทุกสิ่งมีชีวะ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นบ้านเรือน ต้นไม้ สัตว์ คน
ย่อมมีชีวะ มีอัตตาทั้งนั้น

คัมภีร์ทั้ง 4


คัมภีร์ฤคเวท

เชื่อว่าเป็นหนังสือที่เก่าแก่ที่สุดของอินเดีย กล่าวถึงบทสวดสรรเสริญพระเป็นเจ้า และลักษณะการบูชาสังเวยพระเป็นเจ้าด้วยสิ่งต่าง ๆ ในศาสนาพราหมณ์ บรรจุเรื่องราวสภาพสังคม และการใช้ชีวิตของคนในสมัยนั้น กล่าวกันไว้ว่าคัมภีร์นี้ได้ออกจากพระโอษฐ์ของพระพรหม และเหล่าฤาษีได้นำมาสั่งสอนมวลมนุษย์อีกที คัมภีร์นี้เป็นบทสรรเสริญบนบานต่อเทพเจ้าเพื่อขอให้ช่วยกำจัดภัยทั้งหลาย ทั้งมวล นับเป็นคัมภีร์เล่มแรกในวรรณคดีพระเวท เป็นตำราทางศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ประกอบไปด้วยบทสวดที่วางท่วงทำนองในการสวดไว้อย่างตายตัว กล่าวถึงบทสรรเสริญคุณ อำนาจแห่งเทวะ และประวัติการสร้างโลก รวมถึงหน้าที่ของพระพรหมผู้สร้างมนุษย์และสรรพสิ่ง ซึ่งจะใช้ในพิธีการบวงสรวงเทพเจ้าต่าง ๆ ของชาวอารยัน ตามประเพณีของฮินดูแล้ว การแบ่งหมวดหมู่ของคัมภีร์พระเวทนี้ วยาส ( ผู้แต่งมหากาพย์ มหาภารตะ ) เป็นผู้ทำขึ้นโดยรับคำสั่งจากพระพรหม การจัดรวบรวมบทสวดในคัมภีร์ฤคเวทนี้ เรียกว่า ฤคเวทสังหิตา

คัมภีร์ยชุรเวท


เป็น คัมภีร์ใช้ในการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ของพราหมณ์ กล่าวถึงลักษณะและความสำคัญของพิธีกรรมบูชาไฟ และพิธีกรรมต่าง ๆ แสดงถึงพิธีกรรมต่าง ๆ ทั้งการบูชาและการบวงสรวง เป็นคัมภีร์ที่พวกพราหมณ์อัธวรรยุ ๔ ใช้ในการทำพิธีบูชา รจนาขึ้นราว ๑-๒ ศตวรรษหลังจากฤคเวท โดยเนื้อหาส่วนหนึ่งได้มาจากฤคเวท นำมาดัดแปลงและเรียบเรียงขึ้นใหม่ อีกส่วนเป็นบทร้องกรองที่ใช้ในพิธีบูชาโดยเฉพาะ ยชุรเวทนี้แบ่งออกเป็น ๒ ชนิดคือ

๒.๑ ไตติริยะสังหิตา หรือ “พระกฤษณะ” หรือ “ยชุรเวทดำ” เป็นยชุรเวท เดิมที่ยังไม่ได้มีการแบ่งแยก
๒.๒ วาชเนยิสังหิตา หรือ “ศุคล” หรือ “ยชุรเวทขาว” คือยชุรเวทที่แบ่ง เฉพาะโศลกไว้พวกหนึ่ง และร้อยแก้วไว้อีกพวกหนึ่งในการทำพิธีบูชายัญนั้น พิธีที่สำคัญคือ ทศปุรณมาส เป็นการกระทำพิธีในคืนพระจันทร์เต็มดวง และ อัศวเมธ คือการทำพิธีบูชายัญด้วยการถวายม้า

คัมภีร์สามเวท


ประกอบด้วยโคลงบทสวด สำหรับพราหมณ์ใช้สวดทำพิธีสังเวยบูชาเทพเจ้า และการบูชาด้วยน้ำโสมเนื้อหาส่วนใหญ่ของสามเวทนี้จะได้มาจากฤคเวท นำมาร้อยกรองเป็นบทสวด เป็นเนื้อหาในส่วนที่ใช้ในการแสดงกลศาสตร์ หรือศิลปศาสตร์ รวมถึงสังคีตอันเป็นบทสวดสรรเสริญคุณและฤทธิ์ของเทวะ ใช้เฉพาะในหมู่ของพวกพราหมณ์อุทคาตรี ๔ สำหรับการทำพิธีบูชาน้ำโสม สังหิตาของสามเวทนี้แบ่งออกเป็น ๒ ตอน คือ “อรชิต” มีบทร้อยกรอง ๕๘๕ บท และ“อุตตรารชิต” มีบทร้อยกรอง ๑,๒๒๕ บท คัมภีร์พระเวทสามเล่มแรกนี้ หมายถึง ฤคเวท ยชุรเวท สามเวท นับเป็นสามเล่มหลักรวมเรียกว่า ไตรเวท หรือ ไตรเพท


คัมภีร์อาถรรพ์เวท

เป็นพระเวทที่สี่ซึ่งเขียนขึ้นมาในภายหลัง ประกอบด้วยบทสวดคาถาเกี่ยวกับไสยศาสตร์ เป็นพระเวทชนิดพิเศษเรียกว่า “ฉันท์” อันมิได้ถูกจัดอยู่ในไตรเพทเพราะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการประกอบพิธี บูชายัญแต่อย่างใด อาถรรพ์เวทนี้ถือว่าเป็นความรู้ที่ปรากฏแก่พวกพราหมณ์อัธวรรยุ พระเวทตอนนี้มีความเกี่ยวของกับไสยศาสตร์บทสวดต่าง ๆ อันมีจุดประสงค์เพื่อขจัดโรคและภัยพิบัติ ทั้งกล่าวรวมถึงหน้าที่ของกษัตริย์และสัจธรรมขั้นสูง คัมภีร์พระเวทแต่ละคัมภีร์นั้นจะแบ่งออกเป็น ๒ ตอนใหญ่ ๆ คือ มันตระ และ พราหมณะ “มันตระ” หรือ “มนต์” จะรวบรวมบทสวดที่กล่าวถึงเทพเจ้าแห่งปัญญา สุขภาพ ความมั่งคั่ง และความมีอายุยืน รวมถึงบทสวดอ้อนวอนเพื่อขอทาสบริวาร สัตว์เลี้ยง บุตร ชัยชนะในสงคราม หรือแม้กระทั่งการของให้ยกเลิกซึ่งบาปทั้งปวงอันได้กระทำลงไป บางทีก็เรียกว่า สังหิตา หมายถึง บทสวดหรือมนต์ที่ใช้ในการทำพิธีบูชานั่นเอง ส่วนขยายเนื้อหาของคัมภีร์อาถรรพ์เป็นส่วนว่าด้วยมนต์พระเวทเกี่ยวกับ อาถรรพ์ต่าง ๆ เช่น
- การรักษาโรคภัยไข้เจ็บ
- การกำจัดภัยร้ายจาก พยาธิภัย หรือมรณะภัย
- การใช้เสกสิ่งต่าง ๆ เข้าในตัวหรือฝังรูปฝังรอย หรือเสน่ห์ยาแฝด เป็นต้น คัมภีร์ฤคเวท มันตระ จะเรียกว่า “ฤค” อันเป็นร้อยกรองที่มีใจความในการสรรญเสริญพระเจ้า เป็นท่วงทำนองเพื่อการอ่านออกเสียงในการทำพิธีบรวงสรวง คัมภีร์ยชุรเวท มันตระ เรียกว่า “ยชุส” เป็นร้อยแก้ว ที่ใช้สวดออกเสียงค่อย ๆ ในการประกอบศาสนพิธี คัมภีร์สามเวท มันตระ จะเรียกว่า “สามัน” อันเป็นบทสวดมีทำนอง แต่ใช้เฉพาะในพิธีบูชาน้ำโสม ส่วนใน อาถรรพ์เวทนั้น มันตระ ไม่มีชื่อเรียกโดยเฉพาะ นอกเหนือจากคัมภีร์สำคัญ ๔ คัมภีร์ที่กล่าวข้างต้นแล้ว เหล่าพราหมณ์ได้ช่วยกันสร้างพระเวทขึ้นอีก ๔ ส่วน เรียก อุปเวท คือตำราต่าง ๆ ในส่วนที่เฉพาะเจาะจงไปในแต่ละสาขา ประกอบด้วย

๑. อายุรเวท คือตำราแพทย์ศาสตร์
ว่าด้วยการใช้สมุนไพร และเวทมนต์ในการรักษาโรค โดยมีเทวดาประจำ คือ ฤาษีทั้ง ๗ (ไม่ปรากฏนาม)
๒. คานธรรพ์เวท คือตำราดนตรี นาฏศิลป์ หรือการฟ้อนรำ และการขับร้องโดยมีเทวดาประจำ คือ พระนารทฤาษี หรือฤาษีนารอท หรือพระปรคนธรรพ
๓. ธนุรเวท คือตำราวิชายิงธนู และการใช้อาวุธในสงคราม เรียก ยุทธศาสตร์ เทวดาประจำ คือ พระขันทกุมาร
๔. สถาปัตยเวท คือตำราวิชาก่อสร้าง (ปัจจุบันเรียกสถาปัตยกรรม) เทวดาประจำ คือ พระวิษณุกรรม

จากอดีตจนถึงปัจจุบันได้มีการบูชาเทพเทวดาผู้ดูแลตำราคัมภีร์ทั้ง ๔ นี้โดยตลอด ดังจะเห็นจากการทำพิธีไหว้ครูของศิลปินแขนงต่าง ๆ พราหมณะ เป็นส่วนที่อธิบายถึงวิธีและรายละเอียดในการจัดศาสนพิธิที่ต้องสวดมันตระ และอธิบายเรื่องราวต่าง ๆ ที่ต้องเกี่ยวข้องกับมันตระ คัมภีร์พระเวทเฉพาะตอนของ พราหมณะ นี้ ยังสามารถแยกออกเป็นแขนงสำคัญได้อีก ๒ แขนงคือ อารัณยกะ และ อุปนิษัท อารัณยกะ แปลว่า บทเรียนผู้อยู่ในป่า เป็นบทคำสอนการดำเนินชีวิตของพราหมณ์ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งออกจากป่าบำเพ็ญ เพื่อบรรลุโมษะ การปฏิบัติตามบทเรียนนั้นๆ เรียกว่า การเข้าสู่อาศรม คัมภีร์อารัณยกะนี้มีลักษณะการพัฒนาทางจิตอันก้าวไปได้ไกลมากในพัฒนาการของ แนวความคิดทางศาสนาของชาวอินดู อาศรมแห่งการบำเพ็ญเพียร ประพฤติตนให้เป็นพราหมณ์ ดำเนินความตามคัมภีร์อารัณยกะแห่งพราหมณะมีอยู่ “อาศรม ๔” หรือ ๔ ลำดับแห่งการบำเพ็ญตน คือ

๑. พรหมจารี แปลว่า ผู้ประพฤติพรหมจรรย์
๒. คฤหัสถ์ แปลว่า ผู้ครองเรือน
๓. วนปรัสถ์ แปลว่า ผู้อยู่ป่า
๔. สันยาสี แปลว่า ผู้แสวงหาธรรม อาศรมทั้ง ๔ ( Stages of Life ) นับเป็นแนวทางปฏิบัติอันเป็นต้นรากแห่งชีวิตของพราหมณ์ ถือว่าเป็นธรรมประจำตัวของชาวฮินดู ผู้มุ่งต่อโมษะที่เป็นไปในเบื้องหน้า อุปนิษัท แต่งขึ้นโดยยึดคัมภีร์พระเวทเป็นหลัก แปลตามตัวพยัญชนะว่า “เข้าไปนั่งลง” ตามความหมายว่า บทเรียน ซึ่งได้แก่บทเรียนอันเป็นส่วนลึกลับ ( Esoteric Doctrine ) เป็นปรัชญาเกี่ยวกับเรื่องดวงวิญญาณอันเนื่องด้วยพรหม นับเป็นคัมภีร์สำคัญหมวดหนึ่งของชาวฮินดู เป็นอรรถาธิบายความของคัมภีร์พระเวท (ส่วนสุดท้ายคือ เวทานตะ) ๕ แต่งเป็นบทร้อยกรองที่มีความลึกซึ้งทางจิตใจ อธิบายเกี่ยวกับเนื้อหาทางศาสนาและปรัชญามีจำนวนมากกว่า ๒๐๐ บท แต่มีเพียง ๑๒ บท ที่ยอมรับกันว่าเป็นอุปนิษัทหลัก เนื้อหาในคัมภีร์อุปนิษัทนี้นับเป็นฐากฐานให้กับระบบปรัชญาและศาสนาของชาว ฮินดู และถือเป็นคัมภีร์สุดท้ายแห่งการศึกษาเล่าเรียนเพื่อถึงที่สุด จึงนับเป็น เวทานตะ อันหมายถึง ที่สุดแห่งพระเวท ในสมัยต่อมา มีคัมภีร์ใหม่เกิดขึ้นอีกเล่มหนึ่งคือ “อิติหาส” หรือบางทีก็เรียกว่าเป็น ”พระเวทที่ ๕” ประกอบด้วยบทร้อยกรอง เรื่องราวเก่าแก่ และปุราณะ นอกจากนี้ยังมีพระเวทชั้นสองที่เรียกว่า “อุปเวท” เป็นคัมภีร์ที่ว่าด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับดนตรี ยารักษาโรค ฯลฯ

กูรมาวตาร


พระนารายณ์อวตาร ลงมาเป็นเต่ายักษ์ เพื่อปราบอสูรมัจฉา เรื่องกล่าวย้อนไปถึงการกวนน้ำอมฤต ในขณะที่พระนารายณ์ทรงอวตารเป็นเต่ายักษ์ เพื่อหนุนแผ่นดินมิให้ทะลุลงไปถึงโลกมนุษย์ พระองค์ได้พบกับอสูรมัจฉาในขณะกำลังใช้ปากแทะแผ่นดินเพื่อเปิดทางให้น้ำอมฤต ไหลทะลักสู่ โลกมนุษย์ ด้วยอสูรมัจฉามีความคิดที่ต้องการเป็นใหญ่แต่เพียงผู้เดียวในโลก เมื่อพระนารายณ์ (เต่ายักษ์) เห็นการกระทำนั้นจึงเข้าขัดขวางทำการ ต่อสู้กับอสูรตนนั้น หากจะกล่าวถึงอิทธิฤทธิ์ของอสูรย่อมมีมากมายนัก ส่วนเต่ายักษ์ก็เข้าต่อสู้จนที่สุดแล้วเต่ายักษ์เป็นฝ่ายมีชัยชนะ เรื่องจึงจบลง และเต่ายักษ์จึงกลับร่างเป็นพระนารายณ์คืนสู่วิมานดั่งเดิม

วราหาวตาร


อวตาร ปางที่นี้อยู่ในโลกยุคที่ ๑ พระวิษณุทรงอวตารเป็นหมูป่า (วราห์) เพื่อปราบปรามยักษ์ผู้มีนามว่า “หิรัณยากษะ” (ผู้ซึ่งมีนัยน์ตาทอง) ซึ่งเป็นอสูรที่ชั่วร้ายมีความร้ายกาจยิ่งนัก เดิมนั้นอสูรตนนี้ได้บำเพ็ญตบะเพื่อบูชาพระอิศวรทำให้พระองค์โปรดปรานและพอ พระทัยยิ่งนัก จึงประทานให้อสุรตนนี้มีฤทธิ์สามารถปราบได้ทั่วสากลจักรวาล พญาอสูรจึงได้มีความฮึกเหิมอหังการยิ่งนัก ได้จัดการม้วนแผ่นดินโลกทั้งหมด แล้วหนีบใต้รักแร้ หนีลงไปอยู่ในบาดาล ในที่สุดต้องเดือดร้อนถึงพระวิษณุอวตารลงมาเป็นหมูป่า (วราห์) เพื่อปราบปรามยักษ์ตนนี้ หมูนี้มีเขี้ยว เป็นเพชร ดำน้ำลงไปในมหาสมุทรต่อสู้กับพญาอสูรหิรัณยักษ์ จนเวลาล่วงเลยไปถึง ๑ พันปี จึงสามารถฆ่าหิรัณยักษ์ได้สำเร็จ ท้ายที่สุดก็เอา เขี้ยวเพชรนั้นงัดเอาแผ่นดินขึ้นมาไว้บนผืนน้ำตามเดิม

กัลกยาวตาร


พระวิษณุอวตารใน ปางนี้ ทรงเป็นมหาบุรุษขี่ม้าขาวถือดาบในมือขวาทำลายศัตรูของมนุษย์เพื่อปราบกลียุค ที่เต็มไปด้วยเหล่าคนชั่วหรือเหล่าอธรรมทั้งหลาย เมื่อปราบอธรรมแล้วก็จะสถาปนาศาสนาขึ้นใหม่ มหาบุรุษนี้จะมีนามว่า กัลก, กัลกี, หรือ กัลกิน เป็นบุตรของพราหมณ์ชื่อวิษณุยศ อวตารนี้เป็นอนาคตาวตาร (อนาคต+อวตาร) คือ เป็นการอวตารของพระวิษณุยังไม่เกิดขึ้น และหลังจากอวตารแล้ว กลียุคก็ จะสิ้นสุดลง จึงพอจะกล่าวได้ว่ากัลกยาวตารนี้เป็นอวตารที่จะเสด็จลงมาปราบคนชั่วที่มีมาก มายโดยไม่เจาะจงว่าเป็นใครจะมีลักษณะคล้ายกับกฤษณาวตารที่คนชั่วมีมากจนไม่ อาจจะชี้ชัดได้ว่าเป็นใครซึ่งต่าง กับรามาวตาร (อวตารเป็นพระราม) หรือนรสิงหาวตารที่จะอวตารลงมาเพื่อปราบปรามคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะและอาจกล่าว ได้ว่าโลกเราทุกวันนี้ก็คงจะจะใกล้ถึงยุคของกัลกยาวตารเพราะว่าคนชั่วมากมาย เหลือเกิน

กฤษณาวตาร


กล่าวถึงคัมภีร์ปุราณะ มหากาพย์รามายณะ มหาภารตะ และตำนานเก่าต่าง ๆ ของอิน เดีย รวมถึงคัมภีร์ทางศาสนาฮินดูอื่น ๆ ได้บันทึกและกล่าวถึงไว้ว่า พระวิษณุเทพได้อวตารลงมาเพื่อปราบยุคเข็ญให้แก่ เหล่ามวลมนุษย์ทั่วไป ในช่วงเหตุการณ์โลกเกิดกลียุคและเกิดความไม่สงบสุขจากเหล่าอสูร จึงทรงอวตารลงมาในปางต่างๆ ซึ่งปางพระกฤษณะเทพ คือปางที่ ๙ ในการอวตาร ๑๐ ปาง ของพระวิษณุเทพ นั่นเอง ลัทธิไวษณพนิกาย กล่าวไว้ว่าพระกฤษณะเกิดมาเพื่อทำลายอสูร ชื่อกังสะ ซึ่งเป็นลุงของพระกฤษณะเอง อสูรกังสะตนนี้ปลอมตัวมาเป็นกษัตริย์นามว่า อุคราเสน แห่งเมืองมถุรา และได้ใช้อำนาจ แย่งชิงมเหสีจากกษัตริย์ (องค์จริง) มาโดยมิชอบ และมเหสีก็ทรงไม่ทราบว่าเป็นอสูรที่แปลงกายมาเป็นสวามีของตนอสูรกังสะ เมื่อขึ้นครองเมืองก็สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนทั่วไป ต่อมาเมื่อพระ วิษณุเทพทรงทราบถึงความเดือดร้อนของประชาชน จึงทรงอวตารมาในปางพระกฤษณะเพื่อปราบอสูรกังสะตนนี้

รามาวตาร


หลังจากนนทุกถูก สังหารแล้วก็ได้ไปเกิดใหม่พร้อมกับพรของพระวิษณุว่าให้มีสิบหัวยี่สิบมือ โดยไปเกิดเป็นโอรสของลัสเตียนกับพระนางรัชดาแห่งกรุงลงกามีคุณสมบัติตามพร ที่ได้รับจากพระวิษณุ ทุกประการคือมี สิบเศียร ยี่สิบกร มีนามว่า “ท้าวราพนาสูร” หรือ “ทศกัณฐ์” ส่วนพระวิษณุนั้นอวตารลงมาเกิดเป็นมนุษย์ทรงพระนามว่า “พระราม” เป็นโอรสของท้าวทศรถและพระนางเกาสุริยา กษัตริย์สูรย์วงศ์แห่งกรุงศรีอยุธยามีพระอนุชาทรงพระนามว่า “พระลักษมณ์” “พระพรต” และ “พระสัตรุต” ต่อมาภายหลังพระรามได้ทำสงครามกับท้าวราพนาสูรเพราะว่าท้าวราพนาสูรมาลักพา ตันาง สีดาผู้เป็นชายาของพระองค์ไปกักขังไว้ที่กรุงลงกา การสงครามครั้งนี้เป็นสงครามระหว่างยักษ์กับมนุษย์โดยมีกองทัพวานร (ลิง) มาช่วยมนุษย์ด้วยโดยที่พระรามมีขุนพลเป็นวานรเป็นวานรคู่พระทัยคือ “หนุมาน” พระรามและพระลักษมณ์ได้คุมกองทัพวานรของสุครีพข้ามทะเลไปทำสงครามกับทศกัณฐ์ เป็นศึกสงครามที่ยืดเยื้อกินเวลาหลายปี ทั้งพระรามและพระลักษมณ์ได้ฆ่าพวกพ้องของท้าวราพนา สูรตายจนหมด จนในที่สุดท้าวราพนาสูรต้องถอยออกมาสู้รบด้วยตนเอง ซึ่งเป็นการรบตัวต่อตัวกับพระรามทั้งสองได้ต่อสู้กันหลายครั้งหลายหน พระรามก็ไม่สามารถสังหารท้าวราพนาสูรได้ พิเภกทูลพระ รามว่าที่ท้าวราพนาสูรไม่ตายนั้นก็เพราะว่าถอดดวงใจฝากไว้กับพระฤาษีโคบุตร ผู้เป็นอาจารย์ พระรามจึงส่งหนุมานไปหลอกเอากล่องดวงใจจากฤาษีโคบุตรมาทำลายเสีย เมื่อหนุมานได้กล่องดวงใจมาแล้ว พระรามก็ออกไปรบกับท้าวราพนาสูรเป็นครั้งสุดท้าย พระรามแผลงศรไปปักอกท้าวราพนาสูร พร้อมกันนั้นหนุมานก็ขยี้กล่องดวงใจของท้าวราพนาสูร ก็ถึงแก่ความตายทันที พระรามจึงโปรดให้จัดพิธีอภิเษก ให้พระยาพิเภกให้เป็นกษัตริย์ครองกรุงลงกาต่อไป

อัปสราวตาร


พระวิษณุอวตารใน ปางนี้มิได้กล่าวไว้ในคัมภีร์ของปุราณะหรือคัมภีร์มหารามายณะไม่ หรือแม้แต่ในคัมภีร์ใด ๆ ของอินเดียก็มิได้กล่าวถึง แต่เรื่องราวของการอวตารมาเป็นนางอัปสรนี้จะเกี่ยวเนื่อง กับการกำเนิดของของทศกัณฐ์และรามาวตารของพระวิษณุ ดังนั้นจึงขอให้ปราบนนทุกนี้เป็นอวตารปางหนึ่งของพระวิษณุและให้ชื่อปางนี้ ว่า “อัปสรอวตาร” คือการอวตารมาเป็นนางอัปสรนั่นเอง และสาเหตุของการอวตารในปางนี้ก็เนื่องมาจากมียักษ์ตนหนึ่งชื่อว่า “นนทุก” หรือนนทกมีหน้าที่คอยล้างเท้าให้เทวดาทั้งหลายที่มาเข้าเฝ้าพระอิศวรโดย ปฏิบัติหน้าที่ตามหน้าที่ตามคำสั่งของพระ อิศวรนี้มาเป็นเวลาถึงโกฏิปีเทวดาทั้งหลายก็หาได้ให้ความสำคัญกับนนทุกไม่ กลับหยอกล้อนนทุก ๆ ครั้งที่ล้างเท้าให้ โดยเขกหัวตบหัว ลูบหัว ตลอดจนถอนเส้นผมของนนทุกเล่นบ้างจนหัวของ นนทุกโกร๋นหมด กลายเป็นยักษ์หัวล้าน และด้วยความคับแค้นใจที่ถูกข่มเหงรังแกจึงไปเข้าเฝ้าพระอิศวรของพรว่าให้ตน มีนิ้วเพชรที่ศักดิ์สิทธิ์สามารถชี้ใคร ๆ ให้ตายได้ทันที พระอิศวรก็ทรงประ ทานพรให้นนทุกกลับมาทำหน้าที่ของตนตามเดิมพวกเทวดาที่มาเฝ้าก็ไม่รู้ว่าน นทุกได้พรพระอิศวร ถึงเวลาก็มาให้นนทุกล้างเท้าให้และหยอกล้อนนทุกตามเคย นนทุกโกรธจัดจึงชี้นิ้วเพชรทำให้ เทวดาตายไปหลายองค์ เทวดาที่เหลือพากันไปทูลฟ้องพระอิศวร ๆ จึงมีเทวโองการให้พระวิษณุไปปราบนนทุกพระวิษณุจึงแปลงกายเป็นนางอัปสรที่มี ความงามยั่วยวนใจชายยิ่งนัก และร่ายรำ เยื้องย่างมาให้นนทุกเห็นนนทุกถูกใจนางยิ่งนักจึงพยายามเกี้ยวพาราสีนาง นางแปลงจึงใช้มายาหลอกว่าจะตกลงตามใจนนทุก ถ้าหากยักษ์หัวล้านตนนี้ร่ายรำตามนางได้ถูกต้อง นนทุกก็ตกลง นางนารายณ์แปลงจึงเริ่มร่ายรำท่าแม่บท เริ่มตั้งแต่ท่าเทพนม, ท่าปฐม, ท่าพรหมสี่หน้า, ท่าสอดสร้อยมาลาเรื่อย ๆ ไป นนทุกก็รำตามโดยไม่เฉลียวใจ จนรำมาถึงท่านาคาม้วนหาง ท่านี้ต้องชี้นิ้ว ลงไปที่ขาตนเอง นนทุกก็ทำตามเมื่อชี้ไปที่ขาตนเองทำให้ขาหักล้มลง นางแปลงก็กลับร่างเป็นพระวิษณุตรงเข้าไปเหยียบอกเตรียมที่จะสังหาร นนทุกจึงตัดพ้อต่อว่าพระผู้เป็นเจ้าว่า “ตัวข้ามีแต่ สองมือ หรือจะสู้ทั้งสี่กรได้ แม้สี่มือเหมือนพระองค์ทรงชัย ที่ไหนจะหาทำได้ดังนี้” เมื่อพระวิษณุสดับคำตัดพ้อของนนทุกในทำนองดูหมิ่นดูแคลนดังกล่าวจึงตรัสกับ นนทุกว่าถ้าหากเห็นว่าไม่ยุติธรรม และก็จะให้ไปเกิดใหม่ให้มีถึงสิบหัวยี่สิบมือแล้วพระองค์จะลงมาเกิดเป็น มนุษย์ที่มีเพียงสองมือ จะฆ่านนทุกสิบหัวยี่สิบมือให้ได้จะได้พ้นข้อครหา และเมื่อนนทุกถูกฆ่าตายแล้วจึงได้ไปเกิดใหม่เป็น ยักษ์มี ๑๐ เศียร ๒๐ กร ดังพรที่ได้รับจากพระวิษณุมีชื่อว่า “ทศกัณฐ์” หรือท้าวราพนาสูร นั่นเอง

มหิงสาวตาร


อวตารในปางนี้ เรื่องราวมีอยู่ว่ามีอสูรพรหมตนหนึ่งเกิดความริษยาพระพรหมธาดายิ่งนักจึง เนรมิตกายเป็นมหิงสาเข้าไปขวิดเขาพระสุเมรุหวังเพื่อจะทำลายเขาพระสุเมรุ พระอิศวรจึงมีเทวโองการ ให้พระวิษณุมหาเทพอวตารลงมาเป็นพญามหิงสา จัดการสังหารอสูรมหิงสาจนสิ้นชีวิต

วามนาวตาร หรือ ทวิชาวตาร


อวตารปางนี้ทรง อวตารมาเป็นคนแคระเพื่อช่วยเหลือพระอินทร์ให้ได้กลับมาครอบเมืองสวรรค์ เพราะมีอสูรตนหนึ่งชื่อพลีซึ่งเป็นหลานของประหลาท (ในปางที่ ๔) จอมอสูร ได้เสียทีถูกบรรดาทวยเทพฆ่าตาย ภายหลังจากได้รับการช่วยชุบชีวิตจากพวกพราหมณ์ในใต้บาดาลแล้วก็เริ่มทำ พิธีกรรมเพื่อเพิ่มฤทธานุภาพของตนให้มากยิ่งขึ้นจนสำเร็จ แล้วก็ยกพลบรรดาแทตย์และอสูรทั้งหลายพากันมาตีเอาเมืองสวรรค์ได้ ซึ่งพระอินทร์พร้อมทวยเทพบริวารที่แปลงกายเป็นนกยูงได้พากันไปขอร้องให้พระ วิษณุมหาเทพลง มาช่วยปราบขุนพลี องค์พระวิษณุมหาเทพจึงอวตารไปเกิดเป็นโอรสของพระกัศยปมุนีและพระนางอทิติ เมื่อประสูติออกมาแล้วประทานชื่อให้ว่า “วามน” อันมีความหมายว่า เตี้ยหรือสั้น และได้ศึกษาเล่าเรียนศิลปะวิทยาการต่าง ๆ จนเจนจบครบถ้วนและก็บวชเป็นพราหมณ์ตามประเพณี ต่อมาวามนพราหมณ์ทราบข่าวว่าขุนพลีจะประกอบพิธีบูชายัญ เพื่อเพิ่มอำนาจอีก วามนพราหมณ์ก็ลาพระบิดาและพระมารดาไปยังมณฑลพิธีของขุนพลี ซึ่งขุนพลีก็มีความศรัทธานำน้ำมาล้างเท้าให้แล้วเอ่ยถามว่าวามนพราหมณ์ต้อง การอะไร วามนพราหมณ์ก็ออกอุบายขอแผ่นดินเพียงสามย่างก้าวเท่านั้น ฝ่ายขุนพลีไม่ทันคิดก็ตกลงยกให้ทันที พร้อมนั้นก็ยกเต้าน้ำขึ้นเพื่อหลั่งให้ตามประเพณี พระศุกร์ผู้เป็นอาจารย์ของ ขุนพลีก็ร้องห้ามแต่ขุนพลีเป็นกษัตริย์ตรัสแล้วย่อมไม่คืนคำ พระศุกร์จึงหาทายตัวเข้าไปอุดรูเต้าน้ำนั้นเสีย จึงไม่อาจหลั่งทักษิโณทกได้ วามนพราหมณ์รู้ทันจึงได้เอายอดหญ้าคา แยงเข้าไปในน้ำเต้าถูกลูกตาของพระศุกร์ ๆ ทนไม่ไหวจึงรีบออกมาวามนพราหมณ์ก้รีบแบมือรับน้ำได้ตามปรารถนาพร้อมกันนั้น ก็สำแดงเดชย่างก้าวทีหนึ่งลงไปชนแดนยักษ์ (แดนอสูร) ย่างก้าวที่สองลงไปชนแดนมนุษย์ ขุนพลีเห็นดังนั้นก็ผวาเกรงกลัวพร้อมยกมือไหว้ วามนพราหมณ์ ก็กลับร่างเป็นพระวิษณุทันทีทรงเป่าสังข์เรียกบรรดาทวยเทพทั้งหลายให้มา ประชุม พร้อมกันทันทีและเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้เหล่าทวยเทพทั้งหลายฟัง และมีเทวโองการให้พระอินทร์กลับเข้าไปครองสวรรค์ตามเดิม ส่วนขุนพลีนั้นพระวิษณุทรงมีเทวโองการให้ลงไป ปกครองอยู่ใต้สุดบาดาลชั้นที่สาม และทรงสั่งสอนให้ตั้งอยู่ในศีลในธรรมอย่าเบียดเบียนผู้อื่นอีก ส่วนอวตารอีกเรื่องหนึ่งมีลักษณะคล้ายกันที่มีชื่อเรื่องว่า “ทวิชาวตาร” อวตารปางนี้ พระวิษณุทรงอวตารมาเป็นพราหมณ์หนุ่มน้อยรูปงามเข้าไปปราบท้าวตาวันอสูรที่ ทูลขอที่ดินจากพระอิศวร ๓๐๐ โยชน์เพื่อจับสัตว์ทั้งหลาย (ทั้งสี่เท้าสองเท้า รวมทั้งเทวดาและมนุษย์ด้วย) ที่พลัดหลงเข้าไปในที่ดิน ๓๐๐ โยชน์นั้นจับกินเป็นอาหาร พระวิษณุอวตารลงมาใช้อุบายของที่ดินเพียง ๓ ก้าว เช่นเดียวกับเรื่องของวามนาวตาร และขับไล่ท้าวตาวันอสูรไปดินแดนที่ตน ขอพระอิศวร และต่อมาท้าวตาวันอสูรไปอาศัยอยู่เชิงเขาพระสุเมรุและลักลอบเป็นชู้กับนาง สนมของพระอินทร์จนฝนที่สุดพระอินทร์จับได้จึงสังหารท้าวตาวันอสูรเสีย

นรสิงหาวตาร


อวตารปางนี้อยู่ ในยุคที่ ๑ ของโลกคือ กฤดายุคเช่นเดียวกัน เรื่องราวของการอวตารในปางนี้ก็มีอยู่ว่าหลังจากหิรัณยากษะ (หิรันตยักษ์) ถูกพระวิษณุอวตาร เป็นหมูป่าสังหารเรียบร้อยแล้วนั้น พญายักษ์ชื่อว่า “หิรัณยกศิปุ” ผู้เป็นน้องชายฝาแฝดก็ขึ้นมาเป็นใหญ่ในหมู่อสูร (ใต้บาดาล) แทนพี่ชาย พญายักษ์นี้มีจิตใจ หยาบช้ากว่าพี่ชายยิ่งนักได้ไปบำเพ็ญตบะขอพรต่อพระพรหมว่าขออย่าให้ตนเองถูก มนุษย์ เทวดา สัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย ฆ่าเอาให้ตายได้ อย่าให้ตายด้วย อาวุธใด ๆ ในสากลโลก อย่าให้ตายในเวลากลางวันและกลางคืน อย่าให้ตายในบ้านนอกบ้าน ซึ่งพระพรหมธาดาก็ประสิทธิ์ประสาทพรให้ตามที่ขอทุกประการ ทำให้พญาหิรัณยกศิปุมีความฮึกเหิมไม่เกรงกลัวผู้ใด แม้แต่พระผู้เป็นเจ้า พญายักษ์ตนนี้มีโอรสองค์หนึ่งชื่อว่า “ประหลาทกุมาร” ซึ่งเป็นอสูรที่ตั้งมั่นอยู่ในศีล ธรรมอันดีมีความจงรักภักดีต่อพระวิษณุมหาเทพยิ่งนัก ทำให้แนวความคิดของพญาหิรัณยกศิปุนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงแลพญายักษ์ก็มี ความรักในโอรสยิ่งนัก เรียกได้ว่ารักดังหัวแก้วหัวแหวน ประหลาทกุมารผู้ตั้งอยู่ในศีลธรรมก็พยายามโน้มน้าวจิดใจของบิดาให้เลิก ประพฤติชั่วหันมาทำความดีมีความจงรักภักดีต่อผู้เป็นเจ้า แต่บิดาก็หาได้ฟังไม่เที่ยวเบียดเบียนบีฑาบรรดาทวยเทพทั้งหลายให้เดือดร้อน ไปทั่วทุกหัวระแหง พระอินทร์จึงชักชวนบรรดาทวยเทพทั้งหลายไปขอร้องให้พระวิษณุ มหาเทพมาช่วยปราบพญาอสูรผู้ชั่วร้ายตนนี้เพราะไม่มีใครจะปราบมันได้ พระวิษณุมหาเทพก็ทรงรับปากว่าจะช่วยแต่ทรงขอเวลาคิดหาหนทางปราบพญาอสูรก่อน ฝ่ายประหลาทกุมารผู้เป็นโอรสก็เพียรพยายามขอร้องให้บิดาเลิกเบียดเบียนผู้ อื่นฝ่ายพญาอสูรผู้บิดาก็หาเชื่อฟังไม่จึงใช้พวกพราหมณ์อสูรทั้งหลายไปอบรม พระโอรส ให้มาเข้าข้างตนพระโอรสก็ไม่ยอมแม้จะพยายามอย่างใดพระโอรสก็ไม่ยอม จากความรักมากก็กลายเป็นความชังมากจึงสั่งให้จัดการฆ่าโอรสของตนเสีย แต่ไม่ว่าจะ ใช้วิธีใด ๆ ก็ไม่สามารถฆ่าโอรสของตนได้ พญาหิรัณยกศิปุจึงถามโอรสตรง ๆ ว่าพระวิษณุมหาเทพนั้นมีจริงหรือไม่ ถ้ามีจริงและแน่จริงก็ปรากฏตัวออกมาเลย และทัน ใดในระหว่างนั้นเสาศิลากลางห้องท้องพระโรงก็แตกออกมา มีตัวประหลาดเป็นครึ่งคนครึ่งสิงห์ ปราดเข้ามาจับตัวหิรัณยกศิปุลากออกไปวางไว้บริเวณธรณีประตู (คืออยู่ในปราสาทครึ่งตัวอยู่นอกปราสาทครึ่งตัว) และนรสิงห์ผู้นั้นก็ถามพญาอสูรว่าตนเป็นมนุษย์เทวดาหรือสัตว์ พญายักษ์ตอบว่าไม่ใช่ทั้งมนุษย์เทวดาและสัตว์,นรสิงห์ ก็ถามต่อไปว่าเวลานี้ร่างของหิรัณยกศิปุ อยู่นอกเรือนหรือในเรือน พญายักษ์ตอบว่าไม่ใช่ทั้งในเรือนและนอกเรือน และนรสิงห์ถามต่อไปอีกว่าเวลานี้เป็นกลางวันหรือกลางคืน หิรัณยกศิปุตอบว่า มิใช่ทั้งกลางวันและกลางคืน แต่เป็นเวลาโพล้เพล้นรสิงห์จึงชูมือกางกรงเล็บออกมาถามพญายักษ์ว่าอันนี้คือ อาวุธหรือไม่ พญายักษ์ก็ตอบว่าไม่ นรสิงห์จึงประกาศว่าพรทั้งหลายของพระพรหมธาดาเป็นอันเสื่อมแล้ว และตัวพญาอสูรก็ตกอยู่ในภาวะอันนอกเหนือจากพรหมประกาศิตทุกประการแล้ว กล่าวจบนรสิงห์ก็จัดการ สังหารพญาอสูรด้วยการใช้กรงเล็บฉีกกระชากท้องของพญาอสูรจนถึงทรวงอกจนขาดใจ ตาย พระวิษณุมหาเทพจึงประทานแต่งตั้งให้ประหลาทกุมารเป็นใหญ่แทนบิดาต่อไป พร้อมกับสั่งสอนให้ตั้งอยู่ในศีลธรรมอันดีแล้วเสด็จกลับยังที่ประทับของ พระองค์ คืนความสงบให้กลับมาสู่ไตรโลกอีกต่อไป
อมและเคารพยิ่งพญาปลา ที่เป็นพระวิษณุอวตารก็พอใจยิ่งนักจึงแจ้งเรื่องภัยพิบัติ คือน้ำกำลังจะท่วมโลกและให้สัญญาว่าจะช่วยชีวิตของพระราชาไว้ โดยแนะนำให้พระองค์พร้อม ด้วยข้าราชบริพารเสด็จลงเรือใหญ่พร้อมด้วยพระฤาษีเจ็ดตน และเก็บรวบรวมพันธุ์ไม้ตลอดจนสรรพสัตว์ทั้งหลายอย่างละคู่เตรียมไว้ด้วย และในที่สุดภัย พิบัติดังกล่าวก็มาถึงเมื่อพระพรหมธาดาทรงบรรทมหลับสนิทบังเกิดพายุใหญ่พัด โหมกระหน่ำไปทั่วสากลโลก พาให้น้ำในมหาสมุทรท่วมท้นโลกจนพินาศ ดวงอาทิตย์ดวงจันทร์และดวงดาวต่างจมอยู่ใต้น้ำพระราชาพร้อมด้วยพระฤาษีเจ็ด ตนและสัตว์ต่าง ๆ ต้นไม้ ฯลฯ อาศัยเรือลำใหญ่ลอยเคว้งคว้างอยู่กลาง มหาสมุทรที่ท่วมโลกแล้วนั้นโดยมีปลาศผริเป็นผุ้ชักลากจูงเรือไปฝ่าคลื่นและ ลมพายุอยุ่ในมหาสมุทรตลอดพรหมราตรีอันยาวนาน จนน้ำค่อย ๆ ลดลงและ สรรพสิ่งกลับเข้าสู่สภาวะปกติ เรือลำใหญ่นั้นก็เทียบชายฝั่งพร้อมกับกับส่งพระราชาพร้อมด้วยช้าราชบริพาร เรียบร้อยแล้ว ปลาศผริ (อวตาร) ก้รีบดำดิ่งลง สู่มหาสมุทรเพื่อตามล่าอสูรหัยครีพทวงเอาพระเวทคืนกลับมาจนพบอสูรหัยครีพจึง ทรงจัดการสังหารเสีย ซึ่งก่อนหน้านั้นอสูรหัยครีพได้นำพระเวททั้ง ๔ไป ฝากกับสังข์อสูร ทำให้พระวิษณุมิได้พระเวททั ๔ คืนมาและจักต้องทรงอวตารมาอีกเพื่อทวงเอาพระเวททั้ง ๔ คืน

วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ปางทั้ง 10 ของพระนารายณ์ มัตสยาวตาร


มัตสยาวตาร ตำนานน้ำท่วมโลก
เรื่องเล่านี้ถูกอ้างอิงว่ามาจากศาสนาพราห์มมีการเล่ากันหลายแบบ แต่ฉันขอสรุปเองดังนี้ ในครานั้น พระนารายณ์ได้อวตารลงมาเป็นปลา ในภาคที่เรียกว่า มัตสยาวตาร เพราะพรหมผู้เป็นเจ้าจะเข้าสู่พรหมราตรี เพราะพรหมนั้นจะสร้างสรรคและดูแลสรรพสิ่งเฉพาะพรหมทิวาเท่านั้น และเมื่อพระพรหมผู้เป็นเจ้าได้เข้าสู่การบรรทม อสูรหนึ่งที่มีนามว่า "หัยครีพ" ได้เข้ามาขโมยพระเวทอันศักสิทธิ์ ที่ออกจากพระโอษฐ์ของพระพรหม ให้ขณะที่บรรทม แล้วก็หนีไปยังบาดาลพระนารายณ์เกรงว่าอสูรนั้นจะทำความเสียหายแก่โลกด้วยนำ พระเวทไปใช้ในทางที่ผิดมนุย์จะเดือดร้อน

จึงใช้วิธีตัดตอนปัญหาแบบเทพเทวา โดยอวตาลมาเป็นปลาตัวเล็ก ชื่อ "ศะผะริ" ให้พระมนู ผู้เป็นเจ้าเมืองมีเหตุต้องช้อนเอาไปเลี้ยง แต่เมื่อเอาไปเลี้ยงในภาชนะเล็กๆปลาก็โตใหญ่คับอย่างรวดเร็ว เอาไปใสในสระ ไม่นานก็คับสระ เอาไปใส่ในคลองก็คับคลองไม่นานนัก เอาไปใส่ในแม่น้ำไม่นานก็โตใหญ่เต็มแม่น้ำ พระมนูไวยวัตรเจ้าเมืองจึงเอะใจว่า นี่คงไม่ใช่ปลาธรรมดาแต่เป็นปลาเทพอวตารมาเป็นแน่จึงถวายนมัสการ มัสยาอวตารจึงกล่าวให้หาทางแก้ปัญหาเสียแต่ต้นๆ เพราะว่าเมื่อพรหมราตรีมาถึงอสูรอาจทำความเสียหายแก่โลกด้วยพระเวทนั้น น้ำจะท้วมโลกกันใหญ่โต ด้วยว่าพระมนูไวยวัตรนั้นเป็นผู้ปกครองที่ดีจึงได้อวตารมาบอกให้เอาตัวรอด ไว้ก่อนปัญหาจะเกิด โดยให้ต่อเรือแล้วนำสัตว์เป็นคู่ๆขึ้นไปเก็บรักษาไว้ แล้วขนข้าราชบริพารและราชวงศ์ขึ้นไปด้วยเพื่อจะได้รอดชีวิต ต่อมาน้ำก็ท่วมแล้วคนในเรื่อก็รอดชีวิต แล้วปลาศิผะริ ก็ไปจัดการปราบอสูร หัยครีพ

อีกตำนานhttp://www.blogger.com/img/blank.gif

อวตาร ของพระนารายณ์ปางที่ 1 อันเกี่ยวเนื่องด้วยเหตุน้ำท่วมโลกนั้น เกิดขึ้นเมื่อถึงกาลจะสิ้นยุคของยุคเก่าก่อนยุคพวกเรา ( 1 ยุคมั้ง ฮี่ๆๆ) ณ เวลานั้น ก็เป็นตามธรรมเนียมของการสิ้นยุคว่าพระพรหมจะต้องเข้าบรรทม หลังจากไม่ได้นอนเลยมานานแสนนาน = =

ทว่า ในกาลนั้นเมื่อพระพรหมเข้าบรรทมไปแล้ว ก็เกิดเหตุขึ้นคือมีอสูรหอยสังข์ตนหนึ่งชื่อ หั ย ค รี ว ะ หรือ หัยครีพ ลอบเข้าไปขโมยเอาคัมภีร์พระเวททั้ง 4 เล่มที่พระพรหมเก็บรักษาไว้ออกมา (คัมภีร์ทั้ง 4 นั้นคือ คัมภีร์ฤคเวท ยชุรเวท สามเวท และ อาถรรพเวท) และเมื่อขโมยคัมภีร์พระเวททั้ง 4 ซึ่งตนมีใจใฝ่ฝันโหยหาอยากได้มาครอบครองมานานแล้วได้สำเร็จสมใจ หัยครีพก็รีบหนีลงทะเลเพื่อกลับที่พำนักของตนด้วยใจอันลิงโลด

ครั้น ถึงถิ่นที่พำนักของตนแล้ว หัยครีพซึ่งอยากได้คัมภีร์พระเวทมานาน พอได้มาสมใจก็เกิดร้อนวิชา อยากลองว่าคัมภีร์พระเวทที่ตนใฝ่ฝันจะมีอานุภาพมากแค่ไหน ประกอบกับ ณ เวลานั้นโลกจะต้องสิ้นสุดลงด้วยน้ำพอดี หัยครีพซึ่งแน่ใจว่าตัวเองรอดจากน้ำบรรลัยกัลป์ได้อยู่แล้ว (เพราะตัวเองเป็นสัตว์น้ำ) จึงลองวิชาโดยการร่ายมนต์ให้กาลอวสานของโลกด้วยน้ำนั้นมาถึงเร็วขึ้นกว่า ปกติ

เรื่องทั้งหมดทราบไปถึงพระนารายณ์ พระองค์จึงจำเป็นต้องแก้ไขปัญหาถึง 2 อย่างในเวลาเดียวกัน คือ

1. ช่วยชีวิตเหล่าคนดีที่ยังคงเหลืออยู่ ( เพราะหัยครีพเรียกน้ำออกมาก่อนเวลาอันควร จึงยังมีคนดีหลงเหลืออยู่บนโลก )
2. กำราบหัยครีพและนำคัมภีร์พระเวททั้ง 4 กลับไปคืนพระพรหม

พระองค์ จึงอวตารลงมาเป็นปลากรายสีทองตัวน้อย และไปดักคอยท่าท้าวสัตยพรต กษัตริย์ผู้ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีเมตตามากที่สุดในโลก (ทั้งๆที่โลกในตอนนั้นอยู่ในช่วงกลียุคตอนปลายแล้ว) เพราะท้าวสัตยพรตคือ 1 ในคนดีที่พระองค์ต้องช่วยเหลือนั่นเอง

พอท้าวสัตยพรตผ่านมา พระนารายณ์ซึ่งตอนนั้นเป็นปลากรายทอง นามว่า สัปพลิ ก็ร้องขอให้ท้าวสัตยพรตช่วย เนื่องจากแอ่งน้ำที่ตนอยู่กำลังจะแห้ง ท้าวสัตยพรตจึงพาปลากรายทองนั้นไปปล่อยในสระน้ำใกล้ๆ ทว่าหลังจากที่ท้าวสัตยพรตพึ่งจะกลับหลังหันได้เสร็จ ปลาสัปพลิก็บอกอีกว่า สระน้ำนี่ตื้นเกินไปช่วยด้วยๆ และพอท้าวสัตยพรตหันกลับไปมอง ก็พบว่าปลากรายทองตัวนั้นใหญ่เกินสระน้ำเสียแล้ว ด้วยความเมตตาพระองค์จึงเกณฑ์ไพร่พลมานำปลาไปใส่ในคลองที่อยู่ในอุทยานของ พระองค์เอง แต่ลงไปได้แค่ไม่ถึงครึ่งนาทีปลานั้นก็ใหญ่คับคลองอีก และขอความช่วยเหลืออีก ท้าวสัตยพรตจึงเกณฑ์ไพร่พลให้เอาปลาไปปล่อยในทะเลสาบ แต่ปลาก็ใหญ่คับทะเลสาบอีก และขอให้หาที่อยู่ใหม่ให้ตนอีก

ฝ่าย ท้าวสัตยพรตเห็นปลาตัวนี้มีพิรุธมานานแล้ว มาคราวนี้จึงถามปลาว่า ท่านน่ะไม่ใช่ปลาธรรมดาแน่ๆ ดังนั้นกรุณาบอกข้ามาเถิด มาแกล้งปั่นหัวข้าเช่นนี้ มีประสงค์อันใดกันแน่
พญาปลาสัปพลิ จึงบอกว่า ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่อยากทดสอบว่าท้าวสัตยพรตเป็นคนมีเมตตาสูงดังที่เล่าลือกันหรือไม่ก็แค่ นั้น ซึ่งก็ได้ทดสอบจนเห็นจริงแล้วว่า ท้าวสัตยพรตเป็นคนมีเมตตาธรรมสูงส่ง เปรียบเสมือนเพชรในตมแห่ง
กลียุคที่ตนจะต้องปกป้องไว้ให้ได้ แล้วพญาปลาสัปพลิก็เล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ท้าวสัตยพรตฟัง และให้ท้าวสัตยพรตเตรียมเรือดีๆไว้ แล้วให้พาพระมเหสี กับ พระฤษีทั้ง 7 ตน และคนดีที่เหลืออยู่ (เหลือไม่ถึง 10 คน) ขึ้นเรือนั้น เพื่อว่าเมื่อถึงเวลาน้ำท่วมโลกจะได้ไม่เป็นอะไร

ท้าวสัตยพรตทำตาม ที่พญาปลาแนะนำ และเมื่อถึงเวลาน้ำท่วมโลกพระองค์กับมเหสี และพระฤษีทั้ง 7 ตลอดจนสรรพสัตว์และคนดีที่เหลืออยู่ ก็รอดชีวิตอยู่ในเรือนั้น โดยเมื่อกระแสน้ำเชี่ยวกรากขึ้น พญาปลาสัปพลิก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับพญานาคตัวหนึ่ง พญาปลาให้พญานาคใช้หางกระวัดหัวเรือไว้ แล้วใช้ลำตัวท่อนบนพันเขาตนไว้อีกที แล้วพญาปลาก็ลากเรือของท้าวสัตยพรตให้พ้นไปจากเขตอันตราย จนแน่ใจว่าเรือของท้าวสัตยพรตปลอดภัยแล้ว พญาปลากับพญานาคจึงผละออกจากเรือ แล้วพญาปลาก็ดำลงไปยังใต้สมุทร ค้นหาอสูรหอยสังข์หัยครีพจนเจอ และเข้าต่อสู้กัน ซึ่งในที่สุดพญาปลาสัปพลิก็เป็นฝ่ายชนะ ส่วนอสูรหอยสังข์หัยครีพนั้นก่อนตายก็บอกกับพญาปลาว่า ที่ทำไปทั้งหมดนี่ก็เพราะมีใจให้กับคัมภีร์พระเวทจนถอนตัวไม่ได้ และแม้จนบัดนี้ตนก็ยังอยากจะอยู่กับคัมภีร์พระเวทต่อไปชั่วนิรันดร์ แล้วหัยครีพก็ตาย พญาปลาจึงกลับร่างเป็นพระนารายณ์แล้วใช้หัตถ์แหวะเปลือกหอยสังข์เพื่อเอา คัมภีร์กลับคืนมาและนำไปคืนพระพรหม
และนับจากนั้นมาหอยสังข์ทุกตัว ที่เป็นลูกหลานของหัยครีพก็จะมีรอยหยักที่เปลือกคล้ายรอยมือบุรุษ และในพิธีพราหมณ์ที่จะต้องใช้คัมภีร์พระเวท ก็จะต้องนำเปลือกหอยสังข์มาเป็นเครื่องสูงในการบูชาครูคู่กับคัมภีร์พระเวท อันเป็นผลมาจากความปรารถนาสุดท้ายของหัยครีพนั่นเอง ที่อยากจะอยู่กับคัมภีร์พระเวทตลอดไป...

บ้างก็อ้างว่าพระมนูนี้เป็นฤษีที่มีชื่อว่า พระมนูธรรมศาสตร์ อันเป็นผู้วางเรื่องกฏหมายในยุคแรกๆ บ้างก็ว่า จากการรอดของพระมนูนี้เป็นเหตุให้ มีคำเรียกคนนยุคถัดมานั้นว่า มนุษย์ เพราะตามก็มาจากเชื่อสายของพระมนู

อีกเรืองครับ ตำนานน้ำท่วม
ในสมัยของกษัตริย์ มนูญไวยวัตร เจ้าเมือง พาราณสี (สมมุติทีไรก็เมืองนี้เป็นส่วนใหญ่ตามธรรมเนียมนิยาย ใครรู้ว่าทำไมเมืองนี้ถึงดังนักช่วยบอกด้วยนะครับ) เป็นกษัตริย์ที่ดีอยู่ในทศพิธราชธรรมปกครองเมืองมาเรื่อย ๆ แต่ว่าน่าเสียดายที่พระองค์เป็นกษัตริย์ในช่วงที่จะสิ้นสุดของโลก หรือ พรหมทิวา คือพระพรหมนั้น ท่านจะสร้างสิ่งต่าง ๆ ในโลกใช้เวลาทั้งสิ้น ในช่วงกลางวัน หลังจากพระพรหมท่านทำงานหนักมาตลอดทั้งวัน ก็จะเริ่มเหนื่อย พระพรหมท่านก็จะเข้านอนมั่งล่ะ เรียกว่า พรหมราตรี ซึ่งเมื่อพระพรหมท่านหยุดสร้างสิ่งต่างและเข้าสู่นิทรา โลกก็จะถึงกาลอวสานล่ะครับ มาถึงว่า พระมนูญเจ้าเมืองพาราณสี และเหล่ามนุษย์จะได้รู้ว่า โลกนี้กำลังจะสิ้นสุดก็หาไม่ วันหนึ่งพระมนูญไปเที่ยวในป่า ไปลงสรงน้ำในแม่น้ำแห่งหนึ่ง ก็มีปลาสีทองน่ารักว่ายมาหา แล้วบอกกับพระมนูญว่า ท่านมนุษย์ผู้มีเมตตา โปรดช่วยเราด้วยเถิด พระมนูญก็ถามว่าจะให้ช่วยยังไง ปลาน้อยก็บอกว่า เราเป็นปลาน้อยถ้าขืนอยู่ในแม่น้ำนี้ต่อไป คงถูกปลาใหญ่จับกิน แน่นอน พระมนูญได้ฟังก็สงสาร ช้อนเอาปลาน้อยไปเลี้ยงไว้ในอ่างในวัง แต่พอวันรุ่งขึ้น เจ้าปลาน้อยก็กลายเป็นตัวใหญ่คับอ่าง แล้วร้องบอกพระมนูญว่า อ่างนี้ช่างเล็กเหลือเกิน ช่วยด้วยเถิด พระมนูญแปลกใจ แต่ก็ยังไม่คิดอะไร เอาปลาไปปล่อยใน โอ่งใบใหญ่ แต่ชั่วข้ามคืน ปลาน้อยตัวนั้นก็ขยายขนาดคับโอ่ง พระมนูญเริ่มเอะใจ แต่ก็ยังเอาปลา ไปปล่อยในบ่อ ในอุทยานของวังนั้น แต่พอข้ามวัน ปลาสีทองนั้นก็ขยายขนาดใหญ่เต็มบ่อน้ำ พระมนูญจึงคิดว่านี่ต้องเป็นเทพมาลองเชิงแน่นอน จึงถวายความเคารพแล้วถามว่าเป็นเทพองค์ใด มาลองใจพระองค์ ปลาจึงตอบว่า ดูก่อน (ทำไมต้องดูก่อนด้วย สำนวนนี้ใครทราบบ้างครับ) พระมนูญ เราคือ เราคือ นารายณ์อวตาร ที่อวตารลงมาครั้งนี้ก็ด้วยว่า พรหมทิวากำลังจะสิ้นสุดในอีก 49 วันข้างหน้า แล้วจะเข้าสู่พรหมราตรีแล้ว สรรพสิ่งในโลกจะถึงกาลดับสูญ จะเกิดพายุใหญ่ พัดพาให้น้ำท่วมโลก แต่เราเห็นท่านเป็นกษัตริย์ที่ดีพร้อม เราจึงตัดสินใจมาเตือนท่าน ขอให้ท่านจง เตรียมสร้างเรือใหญ่เอาไว้ ไปหาสัตว์มาเก็บไว้อย่างละคู่ อัญเชิญ ฤาษีทั้งเจ็ด (สัปปฤาษี)มาอยู่บนเรือ หามนุษย์ชายหญิงที่เพียบพร้อมด้วยสติปัญญาและบำเพ็ญความดี มาเตรียมไว้บนเรือใหญ่ จงไปเตรียมการดังนี้เถิด พอถึงเวลาน้ำท่วมใหญ่แล้ว เราจะมาช่วยท่านอีกครั้ง พระมนูญพอได้ฟังคำเตือนขององค์พระนารายณ์ ก็รีบไปเตรียมสร้างเรือใหญ่ขึ้นทันที แล้วก็ไปเตรียมหาสัตว์มาเก็บไว้อย่างละคู่ ไปเชิญฤาษีทั้งเจ็ด พร้อมทั้งสรรหาชายหญิงที่เป็นคนดีมาไว้พร้อมบนเรือใหญ่
ไปทางฝ่ายพระพรหม หลังจากเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน ก็ทรงเข้าบรรทม ทันทีที่เนตรทั้งแปดปิดสนิท ก็บังเกิดความมืดมิดในสามโลกทันที พายุฝนก็พัดอย่างหนัก เกิดน้ำท่วมในโลก แล้วในตอนนั้น พระเวทอันสูงสุด ที่ต้นพลังต้นกำเนิดแห่งจักรวาลก็ไหลออกจากปากของพระพรหม (ท่านคงกรน น่ะ) หล่นออกมา มีอสูรตนหนึ่ง (จำชื่อไม่ได้อีกแล้ว) ก็รีบโผล่ขึ้นมา ฮุบเอาพระเวทย์แล้วดำดินหายลงไปในบาดาล (ทำไมอสูรตนนี้ไม่สลายไปก็ไม่ทราบครับ) แล้วลงไปซ่อนตัวอยู่ในบาดาล ฝ่ายพระมนูญ ก็อยู่บนเรือใหญ่ แต่ก็ต้องผจญกับพายุอย่างหนัก พระมนูญ ฤาษีทั้งเจ็ดและเหล่ามนุษย์จึงพากันสวดภาวนาถึงองค์พระนารายณ์ ทันใดนั้น ปลาสีทองตัวใหญ่ ก็ปรากฎขึ้นแล้วบอกให้พระมนูญเอานาคผูกกับเสาเรือแล้วมาผูกกับกระโดงของปลา แล้วปลาใหญ่ก็แหวกว่ายนำทางเรือ ฝ่าพายุไปเรื่อย ๆ เป็นเวลานาน และก็ว่ายมาจนถึงยอดเขาแห่งหนึ่ง ปลาใหญ่ก็บอกว่า บัดนี้ใกล้จะสิ้นสุดพรหมราตรีแล้ว พระพรหมท่านจะตื่นแล้วลงมือสร้างสรรค์สรรพสิ่งในโลกอีกครั้ง พวกท่านจงรอคอยอยู่ที่นี่ ก่อน เราจะไปจัดการอะไรบางอย่างเดี๋ยวจะกลับมา ว่าแล้วปลาใหญ่ก็ดำน้ำหายไป จริงๆ ก็คือ ปลาใหญ่นั้นดำน้ำไปหาเจ้าอสูรร้ายที่แอบขโมยเอาพระเวทย์ไป พอไปเจอกัน เจ้าอสูรก็แผลงฤทธิ์ตัวใหญ่มหึมา แต่จะใหญ่กว่าปลาสีทองก็เปล่า แล้วสู้กันพัลวัน แล้วปลาสีทองก็กัดเจ้าอสูรนั่นตาย แล้วแหวะท้อง เอาพระเวทย์ออกมา แล้วก็กลายร่างเป็นองค์นารายณ์ ทรงครุฑขึ้นไปยังวิมานของพระพรหมทันที พระพรหมท่านก็เพิ่งตื่นมา ก็เห็นพระนารายณ์มาเข้าเฝ้า อ้อ องค์นารายณ์มาหาเราหรือ เราเหนื่อยจากงานเลยเผลอหลับไปหน่อย เอาล่ะตื่นแล้วจะมาทำงานต่อล่ะ ไม่รู้โลกเป็นไงบ้าง
พระนารายณ์ก็ตอบว่า โลกได้สลายไปแล้วพระเจ้าข้า พระองค์เป็นผู้สร้างเมื่อพระองค์ทรงหลับไหล โลกที่พระองค์สร้างขึ้นมาก็ดับสลายไปพระเจ้าข้า พระพรหม ก็โหข้าเหน็ดเหนื่อยสร้างมาทั้งวัน พังหมดแล้วเนี่ยข้าก็ต้องเริ่มสร้างใหม่สิเนี่ย
ทุกอย่างต้องเป็นไปตามวัฎจักร มีเกิดก็มีดับพระเจ้าข้า นี่ข้าพระองค์ก็เอาพระเวทย์ที่ทำหล่นไปตอนนอนมาคืนพระเจ้าข้า
พระพรหมก็บ่นว่าต้องเริ่มสร้างสรรพสิ่งในโลกใหม่อีกแล้ว เฮ้อ เพิ่งได้นอนไปตื่นเดียวเอง
พระนารายณ์ก็บอกว่า ในคราวนี้ข้าได้ไปเลือกสรรมนุษย์กลุ่มหนึ่งไว้สำหรับ ช่วยแบ่งเบาภาระพระพรหมไว้แล้ว พระพรหมก็บอกอืมถ้างั้นก็ดีสิ ว่าแล้วพระนารายณ์ก็อำลาพระพรหม แล้วมาปรากฎกายต่อหน้าพระมนูญ แล้วบอกว่า พระมนูญและเหล่ามนุษย์ที่ถูกเลือกสรรมา จะมีหน้าที่ แพร่ขยายเผ่าพันธุ์มนุษย์ต่อไป สัตว์คู่ต่าง ๆ ที่ช่วยเหลือมาก็จะแพร่ขยายพันธุ์ต่อไป แล้วโลกก็อยู่ต่อไปได้อีกนาน กว่าจะสิ้นพรหมทิวาอีกครั้ง โดยโลกมนุษย์ในยุคพระมนูญนี้จะเป็นโลกยุคแรก (เรียกอะไรผมไม่แน่ใจ ) คือในโลกยุคนี้ถ้าแบ่งความดีของมนุษย์เป็น 4 ส่วน มนุษย์ในยุคนี้จะมีความดีอยู่เต็มทั้ง 4 ส่วน แล้วจากนั้นความดีของมนุษย์จะลดถอยลงไปเรื่อย
ยุคที่สามหรือกลียุค นั้นจะเป็นยุคที่ความดีของมนุษย์หรือเพียงส่วนเดียว หลังจากนั้น โลกก็จะถึงกาลล่มสลายอีกครั้ง (ไม่รู้ยุคพวกเรานี่ใกล้หรือยัง)
ทรงสั่งสอนพระมนูญแล้ว ก็ขึ้นประทับหลังพญาครุฑ กลับสู่สวรรค์ไวยกูณฐ์ ที่เกษียรสมุทร แล้วทรงเข้าบรรทมธ์ไปจนกว่าจะเกิดภัยพิบัติครั้งใหม่จึงจะปลุกพระองค์ขึ้นมา อีก


รูปเคารพทางศิลปะ

พระ นารายณ์ปางมัตสยาวตาร ครึ่งล่างเป็นปลา - ครึ่งบนเป็นเทพชาย สวมมงกุฎ และประดับสร้อยคอมี 4 กร ถือ หอยสังข์ วงล้อ ปางประทานพร และวิตรกะ

พระนารายณ์ ต่อ


พระวิษณุ (อังกฤษ: Vishnu , อักษรเทวนาครี : विष्णु) หรือเรียกอีกอย่างว่า พระนารายณ์ เป็น1 ใน 3 มหาเทพ มีหน้าที่คุ้มครองแลดูแลรักษาทั้ง 3 โลกตามความเชื่อของชาวฮินดู จากคัมภีร์พราหมณ์ รูปร่างลักษณะมีพระวรกายจะมีสีที่เปลี่ยนไปตามยุค ฉลองพระองค์ดั่งกษัตริย์ มีมงกุฎทอง อาภรณ์สีเหลือง มี 4 กร ถือ สังข์ จักร ตรี คทา แต่ที่จะพบเห็นได้บ่อยที่สุดคือถือ จักร์ สังข์ คทา ส่วนอีกกรจะถือ ดอกบัวบ้าง หรือ ไม่ถืออะไรเลยบ้าง (โดยจะอยู่ในลักษณะ"ประทานพร")
โดยปรกติ พระวิษณุ จะทรงประทับอยู่ที่เกษียรสมุทร โดยส่วนมากจะทรงบรรทมอยู่บนหลัง อนันตนาคราช โดยมีพระชายาคือ พระลักษมีมหาเทวี คอยฝ้าดูแลปรนิบัติอยู่ข้างๆเสมอ พาหนะของพระวิษณุคือ พญาครุฑ
พระวิษณุ มีอีกชื่อหนึ่งว่า "หริ" แปลว่าผู้ดูแลแห่งจักรวาลถือเป็นเทพสูงสุด เพราะทุกอย่างเกิดจาก "หริ" โดย"หริ"ได้แบ่งตนเองออกเป็น 3 คือ

พระพรหม มีหน้าที่สร้างและลิขิตสรรพสิ่งทั้งปวงในทั้งสามโลก
พระวิษณุ หรือ พระหริ มีหน้าที่ดูแลทั้งสามโลกให้อยู่ในความเรียบร้อย และสมดุล
พระศิวะ มีหน้าที่ทำลายสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายทั้งปวงในโลกทั้งสาม

มหาเทพทั้ง 3 พระองค์นี้ เมื่อรวมกันจะเรียกว่า พระตรีมูรติ องค์พระเป็นเจ้าแห่งพลังอำนาจทั้งสามประการ ผู้เป็นพระเป็นเจ้าแห่งสรรพชีวิตทั้งปวง
พระวิษณุ ทรงมีเทวานุภาพขจัดเหล่ามารและสิ่งชั่วร้ายทั้งปวง พระองค์ทรงคุ้มครองทุกสรรพชีวิต ทรงบันดาลอำนาจวาสนาแก่มนุษย์ทุกคนที่ระลึกถึงพระองค์อยู่เสมอ อสูรและเหล่ามารทุกตนล้วนแล้วแต่เกรงกลัวอานุภาพแห่งพระองค์

พระวิษณุยังอวตารไปเป็น พระกฤษณะ (มหาเทพผู้ให้กำเนิดคัมภีร์ภควัทคีตา ในมหากาพย์เรื่องมหาภารตะ)
อวตารไปเป็น พระราม (มหาเทพแห่งความยุติธรรม ในมหากาพย์รามายณะ หรือ รามเกียรติ์)
และ อวตารไปเป็น พระพุทธเจ้า (ก่อให้เกิดศาสนาพุทธในภายหลัง ตามปุราณะของศาสนาพราหมณ์)
พระวิษณุยังอวตารไปเป็นเทพเจ้าองค์อื่นๆ อีกถึง 10 ปาง (หรือ นารายณ์ 10 ปาง) และอวตารมากกว่า 10 ปางในบางปุราณะ เพื่อภารกิจปกป้องโลกมนุษย์จากอสูรชั่วร้าย

พระวิษณุเทพ มีพระชายาคือ พระแม่ลักษมี พระแม่เจ้าผู้ประทานความอุดมสมบูรณ์ และความผาสุกแก่ผู้ศรัทธา ผู้ซึ่งคอยอยู่เคียงข้างพระวิษณุ และคอยอวตารไปเป็นชายาพระวิษณุในทุกๆภารกิจ
พระวิษณุ เป็นผู้ประทานแสงสว่างส่องกระจายไปยังทุกสากลโลก ทรงล่วงรู้ความเป็นไปทุกอย่าง รงล่วงรู้ความนึกคิดภายในจิตใจของสรรพชีวิต ทรงตัดสินปัญหาด้วยสำนึกอันสูงสุดแห่งพระเป็นเจ้า ทรงขจัดบาปและความขัดข้องแก่ผู้ปฏิบัติโยคะและนั่งสมาธิระลึกถึงพระองค์
พระวิษณุ หรือ พระนารายณ์ มักปรากฎให้ประจักษ์ในรูปกายอันงดงามที่สุด ฉลองพระองค์ด้วยอาภรณ์สดใส สว่างราวกับทองคำ เรือนร่างประดับด้วยเครื่องถนิมพิมพาภรณ์อันวิจิตรตระการตา มีความอ่อนโยน ยิ้มแย้มอยู่เสมอ พระองค์โปรดการเอื้อเฟื้อ โปรดการมอบความสุขแก่มวลมนุษย์ พระองค์เป็นสัญลักษณ์แห่งความภูมิฐานและการชนะทุกสิ่ง
ที่ประทับของพระวิษณุ
สวรรค์ที่พระวิษณุประทับอยู่นั้น จะอยู่ในมหาสมุทร เรียกว่า เกษียรสมุทร อันเป็น ทะเลน้ำนม ร่วมกับพระชายา (พระแม่ลักษมี) พระองค์จะประทับอยู่ที่นั่นเสมอ และคอยรับฟังปัญหาต่างๆ จากเหล่าฤาษี เทวดา และมนุษย์ ทั้งพระวิษณุและพระแม่ลักษมี จะอยู่เคียงข้างกับผู้ประพฤติปฏิบัติตนเป็นคนดีเสมอ
สัตว์บริวาร
1. พญาครุฑ เป็น พาหนะบริวาร พระวิษณุจะทรงพญาครุฑไปทุกหนทุกแห่ง ยามเสด็จในภารกิจต่างๆ
2. พญานาค เป็น บัลลังค์บริวาร พระวิษณุจะประทับบนพญานาค ณ เกษียรสมุทร ในยามว่าง หรือ ขณะบรรทม
ศาสตราวุธ
หรือ อาวุธ แห่งพระวิษณุ ที่ปรากฎให้เห็นบ่อยที่สุด ได้แก่
1. หอยสังข์
2. จักร
3. คฑา
4. พระขรรค์
5. ลูกศร, ธนู
6. ดอกบัว

นิกาย
นิกายที่นับถือพระวิษณุเป็นใหญ่สูงสุด คือ นิกายไวษณพ และในไวษณพนิกายนี้ ยังแบ่งออกเป็นนิกายที่ยิ่งใหญ่อีก 3 นิกายหลักๆ จากหลายร้อยนิกาย คือ
1. นิกายที่นับถือพระวิษณุในตัวพระองค์เอง และทุกๆอวตารของพระองค์
2. นิกายที่นับถือพระวิษณุในอวตาร พระกฤษณะ เป็นพิเศษ (ศึกษาคัมภีร์ภจากมหากาพย์มหาภารตะ)
3. นิกายที่นับถือพระวิษณุในอวตาร พระราม เป็นพิเศษ (ศึกษาคัมภีร์จากมหากาพย์รามายณะ)
4. นิกายที่นับถือพระวิษณุในอวตาร พระพุทธเจ้า เป็นพิเศษ (ศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้า)
พระวิษณุหรือพระนารายณ์ คือมหาเทพที่ชาวไทยสามารถเห็นได้บ่อยที่สุดและมากที่สุด ในภาพเขียนศิลปะตามประตูและผนังวัดต่างๆ เนื่องจากพระวิษณุเป็นมหาเทพที่กษัตริย์ ราชาในอดีต ทั้งอินเดีย เนปาล พม่า กัมพูชาและไทย ทรงมีพระราชศรัทธามากกว่าเทพองค์อื่นๆ
ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นต้นมา เมื่อเราเข้าไปยังวัดต่างๆและมองขึ้นไปบนหน้าบัน ก็มักจะเห็นรูปปั้นหรือภาพเขียน พระนารายณ์ทรงครุฑ (หรือ นารายณ์ทรงสุบรรณ) และตัวละครในเรื่อง รามเกียรติ์ อยู่แทบจะทุกแห่ง รวมทั้ง หนุมาน เทพ เทวดา ฤาษี และ ยักษ์ ที่เฝ้าประตูวัดทุกแห่งในประเทศไทย ก็ล้วนแล้วแต่เป็นยักษ์ในมหากาพย์เรื่องรามเกียรติ์ทั้งสิ้น

Vishnu พระนารายณ์


...มนุษย์เจ้าเอ๋ย...
คราใดที่ฝ่ายธรรมะในโลกมนุษย์เกิดเสื่อมถอย
และฝ่ายอธรรมกำเริบเสิบสาน
...ยามนั้น เราจักมาปรากฎ...
เพื่อคุ้มครองผู้ภักดี...และลงโทษผู้ประพฤติบาป!!!
โองการศักดิ์สิทธิ์แห่งพระวิษณุ

มหาเทพผู้ปกปักรักษาโลกมนุษย์