1.ปูรณกัสป ศาสดาแห่งฝ่ายอริยกทิฏฐิ คือถือว่า ไม่มีเหตุไม่มีผล ไม่มีบุญไม่มีบาป ทำความดีก็ไม่เป็นความดีและไม่มีผล ทำความชั่วก็ไม่เป็นความชั่วและไม่มีผล ทำอะไรก็สักแต่ว่าเป็นการทำเท่านั้น ไม่เป็นการกระทำที่เกิดผล
2.มักขลิโคศาล ศาสดาแห่งลัทธิฝ่ายอเหตุกทิฏฐิ คือถือว่าความบริสุทธิ์ หรือความเศร้าหมองไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย ย่อมเป็นเองมีเองตามธรรมชาติ จะปฏิบัติตนเพื่อความบริสุทธิ์ หรือจะทำให้เศร้าหมองด้วยการทำชั่ว ย่อมไม่มีผลหรือก่อให้เกิดผลอะไร ทุกสิ่งมีเองเป็นเองไม่มีเองไม่เป็นเอง ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย
3.อชิตเกสกัมพล (อชิตผู้ใช้ผ้ากัมพลทำด้วยผมคน) ศาสดาแห่งลัทธินัตถิกทิฏฐิและอุจเฉททิฏฐิ คือถือว่าไม่มีอะไรทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ พ่อแม่ ความดี ความชั่ว มีแต่ธาตุ 4 รวมตัวกันเมื่อมีชีวิต พอตายแล้วก็แยกกัน ไม่มีอะไรเหลือ ไม่มีอะไรเกิด ไม่มีอะไรดับ ตายแล้วสูญ (ศูนยวาท)
4.ปกุทธกัจจายนะ ศาสดาแห่งลัทธินัตถิกทิฏฐิ คล้ายอชิตเกสกัมพล แต่ต่างออกไปว่า กายมี 7 คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม สุข ทุกข์ และชีวะ เมื่อกายรวมกัน จึงสมมติเรียกเป็นคน เป็นสัตว์ แต่ความจริงแล้ว ไม่มีคน ไ ม่มีสัตว์ ไม่มีอะไรทั้งสิ้น แม้แต่กายนั้นโดยความจริงแล้วก็ไม่มี ดังนั้นจึงไม่มีผู้ให้ ผู้รับ ผู้ฆ่า ผู้ถูกฆ่า แต่เป็นกายสัมผัสกายเท่านั้น ซึ่งโดยความเป็นจริงแล้วก็ไม่มีการสัมผัสอีกเหมือนกันเพราะการสัมผัสนั้น เป็นการสมมติเรียก เมื่อเป็นการสมมติจึงไม่มี
5.สญชัยเวลัฏฐบุตร ศาสดาแห่งลัทธิอมราวิกเขปิกทิฏฐิ คือถืออะไรเป็นหลักไม่ได้ มีความเห็นส่ายไปส่ายมาดุจปลาไหล ไม่ยุติ เป็นเรื่องวาทศิลป์มากกว่า เช่น มีผู้ถามว่าบุญบาปมีจริงหรือไม่ ท่านสญชัยก็ตอบว่า ถ้าข้าพเจ้าเห็นว่าบุญบาปมีจริง ก็จะตอบท่านว่าบุญบาปมีจริง ถ้ามีผู้ถามซ้ำอีกว่า ท่านเห็นว่าบุญบาปมีจริงหรือไม่ ท่านสญชัยตอบแบบถือหลักอะไรไม่ได้ คือแบบส่ายไปมาว่า ข้าพเจ้าจะเห็นอย่างนั้นก็ไม่ใช่ จะเห็นโดยอาการอย่างนั้นก็ไม่ใช่ จะเห็นเป็นอย่างอื่นก็ไม่ใช่ จะไม่เห็ฯเป็นอย่างอื่นก็ไม่ใช่
6.นิครนถนาฏบุตร (มหาวีระ) ศาสดาแห่งลัทธิอัตถิกทิฏฐิ คือถือว่า ทุกสิ่งมีชีวะ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นบ้านเรือน ต้นไม้ สัตว์ คน
ย่อมมีชีวะ มีอัตตาทั้งนั้น
วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น