วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
นรสิงหาวตาร
อวตารปางนี้อยู่ ในยุคที่ ๑ ของโลกคือ กฤดายุคเช่นเดียวกัน เรื่องราวของการอวตารในปางนี้ก็มีอยู่ว่าหลังจากหิรัณยากษะ (หิรันตยักษ์) ถูกพระวิษณุอวตาร เป็นหมูป่าสังหารเรียบร้อยแล้วนั้น พญายักษ์ชื่อว่า “หิรัณยกศิปุ” ผู้เป็นน้องชายฝาแฝดก็ขึ้นมาเป็นใหญ่ในหมู่อสูร (ใต้บาดาล) แทนพี่ชาย พญายักษ์นี้มีจิตใจ หยาบช้ากว่าพี่ชายยิ่งนักได้ไปบำเพ็ญตบะขอพรต่อพระพรหมว่าขออย่าให้ตนเองถูก มนุษย์ เทวดา สัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย ฆ่าเอาให้ตายได้ อย่าให้ตายด้วย อาวุธใด ๆ ในสากลโลก อย่าให้ตายในเวลากลางวันและกลางคืน อย่าให้ตายในบ้านนอกบ้าน ซึ่งพระพรหมธาดาก็ประสิทธิ์ประสาทพรให้ตามที่ขอทุกประการ ทำให้พญาหิรัณยกศิปุมีความฮึกเหิมไม่เกรงกลัวผู้ใด แม้แต่พระผู้เป็นเจ้า พญายักษ์ตนนี้มีโอรสองค์หนึ่งชื่อว่า “ประหลาทกุมาร” ซึ่งเป็นอสูรที่ตั้งมั่นอยู่ในศีล ธรรมอันดีมีความจงรักภักดีต่อพระวิษณุมหาเทพยิ่งนัก ทำให้แนวความคิดของพญาหิรัณยกศิปุนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงแลพญายักษ์ก็มี ความรักในโอรสยิ่งนัก เรียกได้ว่ารักดังหัวแก้วหัวแหวน ประหลาทกุมารผู้ตั้งอยู่ในศีลธรรมก็พยายามโน้มน้าวจิดใจของบิดาให้เลิก ประพฤติชั่วหันมาทำความดีมีความจงรักภักดีต่อผู้เป็นเจ้า แต่บิดาก็หาได้ฟังไม่เที่ยวเบียดเบียนบีฑาบรรดาทวยเทพทั้งหลายให้เดือดร้อน ไปทั่วทุกหัวระแหง พระอินทร์จึงชักชวนบรรดาทวยเทพทั้งหลายไปขอร้องให้พระวิษณุ มหาเทพมาช่วยปราบพญาอสูรผู้ชั่วร้ายตนนี้เพราะไม่มีใครจะปราบมันได้ พระวิษณุมหาเทพก็ทรงรับปากว่าจะช่วยแต่ทรงขอเวลาคิดหาหนทางปราบพญาอสูรก่อน ฝ่ายประหลาทกุมารผู้เป็นโอรสก็เพียรพยายามขอร้องให้บิดาเลิกเบียดเบียนผู้ อื่นฝ่ายพญาอสูรผู้บิดาก็หาเชื่อฟังไม่จึงใช้พวกพราหมณ์อสูรทั้งหลายไปอบรม พระโอรส ให้มาเข้าข้างตนพระโอรสก็ไม่ยอมแม้จะพยายามอย่างใดพระโอรสก็ไม่ยอม จากความรักมากก็กลายเป็นความชังมากจึงสั่งให้จัดการฆ่าโอรสของตนเสีย แต่ไม่ว่าจะ ใช้วิธีใด ๆ ก็ไม่สามารถฆ่าโอรสของตนได้ พญาหิรัณยกศิปุจึงถามโอรสตรง ๆ ว่าพระวิษณุมหาเทพนั้นมีจริงหรือไม่ ถ้ามีจริงและแน่จริงก็ปรากฏตัวออกมาเลย และทัน ใดในระหว่างนั้นเสาศิลากลางห้องท้องพระโรงก็แตกออกมา มีตัวประหลาดเป็นครึ่งคนครึ่งสิงห์ ปราดเข้ามาจับตัวหิรัณยกศิปุลากออกไปวางไว้บริเวณธรณีประตู (คืออยู่ในปราสาทครึ่งตัวอยู่นอกปราสาทครึ่งตัว) และนรสิงห์ผู้นั้นก็ถามพญาอสูรว่าตนเป็นมนุษย์เทวดาหรือสัตว์ พญายักษ์ตอบว่าไม่ใช่ทั้งมนุษย์เทวดาและสัตว์,นรสิงห์ ก็ถามต่อไปว่าเวลานี้ร่างของหิรัณยกศิปุ อยู่นอกเรือนหรือในเรือน พญายักษ์ตอบว่าไม่ใช่ทั้งในเรือนและนอกเรือน และนรสิงห์ถามต่อไปอีกว่าเวลานี้เป็นกลางวันหรือกลางคืน หิรัณยกศิปุตอบว่า มิใช่ทั้งกลางวันและกลางคืน แต่เป็นเวลาโพล้เพล้นรสิงห์จึงชูมือกางกรงเล็บออกมาถามพญายักษ์ว่าอันนี้คือ อาวุธหรือไม่ พญายักษ์ก็ตอบว่าไม่ นรสิงห์จึงประกาศว่าพรทั้งหลายของพระพรหมธาดาเป็นอันเสื่อมแล้ว และตัวพญาอสูรก็ตกอยู่ในภาวะอันนอกเหนือจากพรหมประกาศิตทุกประการแล้ว กล่าวจบนรสิงห์ก็จัดการ สังหารพญาอสูรด้วยการใช้กรงเล็บฉีกกระชากท้องของพญาอสูรจนถึงทรวงอกจนขาดใจ ตาย พระวิษณุมหาเทพจึงประทานแต่งตั้งให้ประหลาทกุมารเป็นใหญ่แทนบิดาต่อไป พร้อมกับสั่งสอนให้ตั้งอยู่ในศีลธรรมอันดีแล้วเสด็จกลับยังที่ประทับของ พระองค์ คืนความสงบให้กลับมาสู่ไตรโลกอีกต่อไป
อมและเคารพยิ่งพญาปลา ที่เป็นพระวิษณุอวตารก็พอใจยิ่งนักจึงแจ้งเรื่องภัยพิบัติ คือน้ำกำลังจะท่วมโลกและให้สัญญาว่าจะช่วยชีวิตของพระราชาไว้ โดยแนะนำให้พระองค์พร้อม ด้วยข้าราชบริพารเสด็จลงเรือใหญ่พร้อมด้วยพระฤาษีเจ็ดตน และเก็บรวบรวมพันธุ์ไม้ตลอดจนสรรพสัตว์ทั้งหลายอย่างละคู่เตรียมไว้ด้วย และในที่สุดภัย พิบัติดังกล่าวก็มาถึงเมื่อพระพรหมธาดาทรงบรรทมหลับสนิทบังเกิดพายุใหญ่พัด โหมกระหน่ำไปทั่วสากลโลก พาให้น้ำในมหาสมุทรท่วมท้นโลกจนพินาศ ดวงอาทิตย์ดวงจันทร์และดวงดาวต่างจมอยู่ใต้น้ำพระราชาพร้อมด้วยพระฤาษีเจ็ด ตนและสัตว์ต่าง ๆ ต้นไม้ ฯลฯ อาศัยเรือลำใหญ่ลอยเคว้งคว้างอยู่กลาง มหาสมุทรที่ท่วมโลกแล้วนั้นโดยมีปลาศผริเป็นผุ้ชักลากจูงเรือไปฝ่าคลื่นและ ลมพายุอยุ่ในมหาสมุทรตลอดพรหมราตรีอันยาวนาน จนน้ำค่อย ๆ ลดลงและ สรรพสิ่งกลับเข้าสู่สภาวะปกติ เรือลำใหญ่นั้นก็เทียบชายฝั่งพร้อมกับกับส่งพระราชาพร้อมด้วยช้าราชบริพาร เรียบร้อยแล้ว ปลาศผริ (อวตาร) ก้รีบดำดิ่งลง สู่มหาสมุทรเพื่อตามล่าอสูรหัยครีพทวงเอาพระเวทคืนกลับมาจนพบอสูรหัยครีพจึง ทรงจัดการสังหารเสีย ซึ่งก่อนหน้านั้นอสูรหัยครีพได้นำพระเวททั้ง ๔ไป ฝากกับสังข์อสูร ทำให้พระวิษณุมิได้พระเวททั ๔ คืนมาและจักต้องทรงอวตารมาอีกเพื่อทวงเอาพระเวททั้ง ๔ คืน
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ขอโทษนะครับ
ตอบลบอยากจะเพิ่มเติมในส่วนที่ขาดหายไปนะคับคุณ UDONBIZ
เพื่อเป็นประโยชน์แก่บุคคลทั่วไปคับ
ขออย่าให้ตนเองถูก มนุษย์ เทวดา สัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย ฆ่าเอาให้ตายได้
อย่าให้ตายด้วย อาวุธใด ๆ ในสากลโลก อย่าให้ตายในเวลากลางวันและกลางคืน อย่าให้ตายในบ้านนอกบ้าน ซึ่งพระพรหมธาดาก็ประสิทธิ์ประสาทพรให้ตามที่ขอทุกประการ ทำให้พญาหิรัณยกศิปุมีความฮึกเหิมไม่เกรงกลัวผู้ใด
พรอีกประการหนึ่งที่ พญาหิรัณยกศิปุ ขอไว้อีกอย่างหนึ่งคือ
.อย่าให้ตายทั้งบนผืนดิน และผืนฟ้า คับ
ซึ่งนรสิงหาวตารได้พูดว่า
ตอนนี้ข้าไม่ใช่ คน หรือสัตว์ ข้าเป็น นรสิงห์ (ครึ่งคนครึ่งสัตว์)
ตอนนี้ไม่ใช่กลางวันและกลางคืน แต่เป็นเวลาโพล้เพล้
ไม่ใช่นอกบ้านและในบ้าน แต่เป็นกึ่งกลางธรณีประตู
ตอนนี้ท่านมิได้อยู่บนผืนดิน หรือบนฟ้า แต่ท่านอยู่บนตักของข้า
ข้ามิได้ใช้อาวุธ แต่เป็นกรงเล็บ ของข้าเอง ที่ฆ่าเจ้า
และนรสิงหาวตาร ก็ได้ฆ่า หิรัณยกศิปุ ตายลง
หากผมเขียนอะไรที่ผิดพลาดมประการใดของอภัยด้วยนะคับ
ขอโพสด้วยความเคารพครับ ขอบคุณครับ